วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สถาปนิก Idol รุ่นพี่ลาดกระบัง




อยากทราบรายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับประวัติของพี่ค่ะ :
พี่เอ้ (นายสุธี ) ปัจจุบันอายุ 45 ปี เข้าเรียนที่คณะสถาปัตย์ลาดกระบัง เมื่อปี พ.ศ. 2528 ที่ พอเรียนจบก็มีพี่ชื่อว่าพี่กลอยชวนไปทำเกี่ยวกับไซต์งานจริง ชวนไปคุมไซต์เป็นกึ่งๆ Construction Manager ซึ่ง CM เป็นสิ่งที่ใหม่ในตอนนั้นก็เลยสนใจ เพราะง่าตอนเรียนจบใหม่ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่มีอยู่วันนึงพี่จะไปเที่ยวแต่ก็ไปนัดเจอกับเพื่อนก่อน ชื่อพี่ปกรณ์ ซึ่งไปสมัครงานที่ Plan architect ก็เลยไปหาเพื่อนที่ Plan แล้วก็เลยลองสัมภาษณ์ดู ก็เลยได้ไปทำงานกับที่บริษัท PLAN ARCHITECT อยู่ในแผนก Commercial หลังจากทำงานที่บริษัท Plan ประมาณ 7 ปี จะอยู่ในช่วงประมาณปี 2539 เริ่มรู้สึกเบื่องานสถาปัตย์ ก็เลยลาออกไปต่อปริญญาโทที่ Newyork สาขา Theory ที่อยากไป Newyork ก็เพราะว่าเป็นเมืองใหญ่ อยากไปใช้ชีวิต พี่เป็นคนหลงแสงสี ไม่ชอบอยู่บ้านนอก ก็เลยเลือกที่นี่ ในตอนเรียนตอนแรกๆก็ยังงงๆ เพราะว่าตอนนั้นก็ยังใช้คอมไม่เป็น โปรเจคแรกที่ทำเลยทำมือไปเลย ทำให้อาจารย์ที่สอนชอบแล้วก็ชวนไปทำงานด้วย พอเรียนจบก็ทำงานอยู่นิวยอร์คอยู่ 3 ปี จนคุณแม่เสียเลยกลับมาอยู่ที่ไทย ก็ไปเจอพี่ๆสองคนที่ออกจาก Plan มาพอดี พี่เค้าก็ชวนไปทำงานกับเซนทรัล โดยมีพี่เปีย (PIA) ที่เป็นอินทีเรียมาชวนไปทำ ซึ่งเหมือนกับในเวลาทำงานจะต้องมีสถาปนิกไปด้วย เลยไปทำงานกับพี่เปียสักพักจนพี่เปียบอกว่าให้ไปตั้งบริษัท พี่เอ้กับพี่เดชก็เลยร่วมกันตั้งบริษัท PAA Studio ซึ่งก็เป็นบริษัทสถาปนิกที่ส่วนใหญ่แรกเริ่มจะ connect งานกับ PIA ด้วย

 งานที่พี่เอ้เป็นคนออกแบบรู้สึกชอบแล้วก็ประทับใจ : 
ตึก WWW อยู่แถวถนนเพชรบุรี เป็นตึกแถว 4 ห้อง ตอนนั้นที่ีทำก็ลองเอา Glass box มาหุ้ม เพราะว่าเบื่อกระจก กับ Cladding ซึ่งตึกนี่ตอนแรกยังไม่มีใครกล้าทำเพราะยังไม่มีคนเคยเอา Glass box มาก่อสูง 4-5 ชั้น ซึ่งงานนี้มันต้อง research เยอะมาก ต้องไป work กับบริษัท Glass box ประมาณ 5-6 เดือน ซึ่งพี่รู้สึกว่า ในตอนนั้นมันยังใหม่ในไทยกับฟอร์มง่ายๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Material และเทคโนโลยี


แนวคิดที่พี่เอ้นำมาใช้กับการออกแบบ :  
พี่ว่างานสถาปัตยกรรมเหมือนกับคน พี่ชอบงานที่คนธรรมดาๆที่ไม่มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมมาดู ซึ่งดูในรอบแรกแล้วรู้สึกเฉยๆ แต่พอเดินผ่านรอบที่ 2-3 ก็จะรู้ว่า เห้ยตึกนี้มันมีอะไรนะ มันมีสิ่งที่น่าสนใจซ่อนอยู่ เหมือนกับคนที่เรามองแวบแรกก็รู้สึกว่าธรรมดา แต่พอคุยไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกกว่า คนนี้นี่แหละเจ๋งหว่ะ
มันต่างกับคนที่สวยแบบฉูดฉาด มองไปครั้งนึงก็ไม่ได้รู้สึกอยากกลับไปมองอีก เวลาเราดู Architecture เราก็จะรู้ว่าคนออกแบบเป็นยังไง
เวลาที่พี่ทำงานพี่ก็ชอบทำงานที่รู้สึกง่าย Friendly ดึงดูดคน น่าเข้าไปใช้ ถ้าเปรียบกับเพลงก็จะเป็นเพลงอารมณ์ดีพวกเพลงของเฉลียง ประภาส อะไรอย่างงี้ บางทีพี่ก็ไม่ค่อยชอบงานแบบที่เราเข้าไปแล้วรู้สึกเกรงกลัว หรูหราเกินไป งานมันข่มคน แล้วรู้สึกอึดอัด เวลาเข้าไปแล้วมันไม่เป็นตัวของตัวเอง
เวลาที่เราจะเป็น Designer พี่ว่าเราต้องเป็นตัวของตัวเอง เพราะมันจะเวิร์คที่สุด มันจะไปกับเราได้ที่สุด เพราะเวลาพัฒนาแบบมันก็จะเหมือนเติบโตไปกับเรา พี่ว่างานบางงานมันก็มีไว้แค่ให้ดู สุดท้ายเวลาทำงานก็ควรจะทำในสิ่งที่เราถนัด

พี่เอ้คิดยังไงกับ จรรยาบรรณวิชาชีพ แล้วก็การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมคะ?
พี่ไม่รู้ความหมายของจรรยาบรรณ พี่ว่าสถาปนิกต้องคิดเก่ง การคิดเก่งก็ต้องถูกคิดให้ถูกด้วย ในเรื่องการตัดค่าแบบ ไปตัดงานคนอื่นมันก็ต้องดูที่บริบทด้วย เพราะในความเป็นจริงเราต้องเลี้ยงดูคนในบริษัท ถ้าในช่วงนั้นมันจำเปนมันไม่มีงาน มันก็จำเป็นต้องทำ เพราะเราต้องคำนึงถึงธุรกิจด้วย มันเหมือนกับคนรวยพันล้าน บริจาคเงินไปร้อยล้าน กับคนที่มีเงินร้อยนึงบริจาคไปเก้าสิบ พี่ว่าคนที่ไม่มี แต่ก็ยังพยายามทำความดีคนแบบนี้นี่แหละที่เจ๋ง ถึงแม้จำนวนเงินมันจะเทียบกันไม่ได้
แล้วพี่ก็คิดว่าคนที่เลือกทำงานในสายสถาปนิก ลึกๆแล้วมีความฝัน มีอะไรที่เค้าอยากจะสร้างอยากจะทำ ซึ่งงานสถาปนิกนี่ถือว่าเป็นงานที่หนัก ค่าตอบแทนน้อย คนที่ยอมมาอยู่ในสภาพแบบนี้ลึกๆแล้วก็ยังมีอะไรดีดีอยู่แหละ
แล้วพี่ก็คิดว่า งานที่ดี ก็ต้องมาจากความคิดที่ดี คำนึงถึงสิ่งต่างๆ สถาปนิกหรือดีไซเนอร์ก็จะต้องพยายาม keep up ตัวเองเพื่อให้ทันเหตุการณ์และเพิ่มความรู้ให้กับตัวเอง อาจารย์จิ๋วสอนไว้ว่า "ในที่สุดแล้วมันขึ้นอยู่กับตัวมึงว่าจะดูอะไร เป็นอะไร" เหมือนพอถึงจุดนึงเวลาดูนะ เราไม่ดู architecture แต่เราดูการใช้ชีวิตที่เติบโตไป



ในตอนที่พี่เรียนอยู่ที่คณะบรรยากาศคณะเป็นอย่างไรบ้างคะ?
ขณะเรียนพี่ก็ทำกิจกรรมทั่วไป เช่นพวกกิจกรรมกับสโมคณะ ทำเชียร์ หรืออะไรต่างๆ ในช่วงที่พี่เรียนเป็นช่วงที่เศรษฐกิจในประเทศไทยกำลังบูมมากๆ ทำให้มีงานค่อนข้างเยอะ พี่ฝึกงานมาตั้งแต่ปิดเทอมปีสอง ปีสาม ปีสี่ พอขึ้นปีสี่พี่ก็เริ่มรับงานนอก เวลาไปเรียนก็นั่งรถเมล์ไปกลับ เพราะว่าบ้านพี่อยู่ใกล้ อยู่ใกล้ พี่ชอบอยู่คณะ ถ้าช่วงมีกิจกรรมเยอะ หรือเพื่อนมาทำงานสโม พี่ก็จะนอนที่สโมที่เป็นบ้านเล็กๆเรียกว่า บ้านเหลือง   แต่ถ้าเป็นช่วงทำโปรเจคพี่จะรีบไปทำที่บ้าน เพราะทำที่คณะแล้วมันทำไม่เสร็จ



พี่คิดว่าสถาปนิกใหม่ที่ลาดกระบังผลิตออกมาเป็นอย่างไรบ้างคะ? :
พี่ว่าพอเวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน เราจะมาคาดหวังให้เด็กเหมือนรุ่นพี่ก็ไม่ได้
แต่พี่ว่าคนเอเชีย ชอบคิดแต่ไม่ชอบพรีเซ้น นี่คือข้อเสียของเรา พี่ว่าสิ่งที่สำคัญคือเราต้องเรียบเรียงออกมาให้ได้ว่า ความคิดของเราทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี่ ต้องสื่อสารออกมาให้คนอื่นรู้ ซึ่งพี่ว่าเป็นสิ่งที่ยากมากกว่าการแสดงความคิด Final ซึ่งแบบนี้เป็นสิ่งที่เราควรฝึก เพราะว่าจริงๆสิ่งที่เราเรียนก็คือการฝึกคิด

พี่อยากให้ภาควิชาปรับปรุงการเรียนการสอนยังงัยบ้างคะ? : 
ตอนที่พี่กลับมาจาก Newyork พี่เคยไปช่วย Jury thesis ที่จุฬาอยู่พักนึง พี่รู้สึกว่า บางทีเด็กอาจจะมีความคิดที่ดีกว่าเราอีกนะ เค้าแค่ขาดความมั่นใจ อย่างที่เมืองนอกที่มหาวิทยาลัยดีดีเขาจะไม่ให้อาจารย์สอนหนังสืออย่างเดียว แต่เค้าจะให้อาจารย์ไปทำงานครึ่งปี มาสอนครึ่งปี ซึ่งพี่ว่ามันจะช่วยให้ตัวอาจารย์เองได้อัพเดทด้วย ว่าปัจจุบันตลาดเป็นอย่างไร แต่ในไทยบางมหาลัยเค้าจะห้าม เพราะเค้าคิดว่ามันเป็นการเบียดบังเวลาทำงาน แต่ตอนนี้ที่เกษตรก็เริ่มมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มอาจารย์แล้วให้อาจารย์รับงาน เพื่อที่จะช่วยอัพเดทความรู้ของอาจารย์ที่จะนำมาสอนเด็กไปในตัวด้วย พี่ว่าสมัยนี้ข้อมูลมันเยอะ ถ้าความรู้ที่เด็กได้เป์็นแค่ความรู้ในห้องเรียน พี่ว่ามันยังไม่เวิร์คเพราะว่าสมัยนี้แค่เข้าอินเตอร์เนตก็ได้ข้อมูลมามากมายแล้ว แต่ประสบการณ์การทำงานจริงๆ มันหาไม่ได้ง่ายๆ

1 ความคิดเห็น: