วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"วิชาชีพสถาปนิกในทรรศนะคติของข้าพเจ้า"


วิชาชีพสถาปนิก ในทรรศนะคติของข้าพเจ้า


                 ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย น่าจะเป็นช่วงประมาณปิดเทอมของ ม.4  เพื่อนๆทุกคนจะเริ่มหาที่เรียนพิเศษ หาที่ติววิชาต่างๆ เพื่อที่จะใช้ในการสอบตรง สอบแอดมินชั่น ก็เลยถามเพื่อนๆว่า "ที่เรียนไป เรียนไปทำไม รู้แล้วเหรอว่าตัวเองอยากเรียนที่ไหน อยากทำอะไร?" ตอนนั้นฉันก็รู้สึกว่า เห้ย เหลือเวลาอีกตั้งหลายปีทำไมรีบกันจัง?  ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองอยากทำอะไร  แล้วจะลงเรียนพิเศษทุกวิชาอาทิตย์ละ 5 วันไปทำไม? ไม่เหนื่อยเหรอ? ไม่เสียดายเงินเหรอทั้งๆที่บางเรื่องในโรงเรียนยังเรียนไม่ถึงด้วยซ้ำ...



                ในเวลานั้นเพื่อนทุกๆคนในกลุ่มไปเรียนพิเศษกันหมด เหลือปิดเทอมที่มีฉันว่างแค่คนเดียว พอไม่มีเพื่อนว่างไปเที่ยวด้วย ตอนนั้นก็เลยไปสมัครงานเป็น Part-time ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆลูกค้าไม่เยอะมาก แล้วตามร้านกาแฟก็จะมีหนังสือ นิตยสารที่ไว้ให้ลูกค้ามานั่งอ่าน ในนิตยสารพวกนั้น ก็จะมี บ้านและสวน ,ROOM ,ELLE Decoration รวมอยู่ด้วย ซึ่งฉันสนใจนิตยสารเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมแบบนี้มากกว่าหนังสือแฟชั่นที่หลายๆคนชอบอ่านเสียอีก เวลาว่างๆ ฉันก็จะมานั่งอ่านหนังสือพวกนี้ ใช้เวลากับหนังสือพวกนี้เป็นชั่วโมงๆ จากที่อ่านฟรี ก็กลายเป็นซื้อ เก็บสะสม แล้วก็เริ่มศึกษาหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมมากขึ้น




                พอขึ้น ม.5 ก็เริ่มรู้สึกถึงความชอบของตัวเองมากขึ้น เห็นแนวทางในอนาคตของตัวเองมากขึ้น ว่าชอบเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เริ่มไปเรียน ไปลงคอร์สความถนัดทางวิชาสถาปัตยกรรม ก็ไปเรียน ไปติวเรื่อยๆ เรียนมั่งโดดมั่งไม่ค่อยจริงจังมากนัก เพราะตอนนั้นยังติดเพื่อน ติดเที่ยว แล้วก็ยังคิดว่ายังมีเวลาอีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาสอบ

               เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนมาถึง ม.6 ตอนนั้นยังเรียนคอร์สความถนัดฯ ที่ลงไว้ตั้งแต่ ม.5 ไม่หมด เริ่มรู้กสึกตัวเองว่า ถ้ายังทำตัวอย่างนี้ต่อไป ไม่ติดแน่ๆ ตอนช่วง ม.6 เทอมหนึ่ง ก็เลยเป็นช่วงที่ขยันมาก ไปเรียนทุกอาทิตย์ ไม่โดดเรียนเลย พ่อแม่ดีใจมาก นึกว่าลูกจะกลับตัวไม่ได้ซะแล้ว :)
ในช่วงเวลานั้นก็จะเป็นเทศกาลสอบตรง ก็ไปลงสมัครสอบตามที่ต่างๆ ทั้ง ม.เกษตรฯ ,ม.ศิลปากร ,ม.ธรรมศาสตร์ และอีกที่นึงก็คือ ถาปัตย์ ลาดกระบัง
               ตอนที่ไปสอบก็จะรู้สึกถึงรังสีแห่งความจริงจัง ความตั้งใจ ของเพื่อนรุ่นเดียวกัน ที่มีความฝันเหมือนกัน ผลสอบออกมา ก็คือ ติดที่ ม.ธรรมศาสตร์ที่เดียว แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าที่นั่นมันยังไม่ใช่ ทำไมถึงไม่ติดในที่ที่อยากเรียน ก็เลยเกิดความรู้สึกท้อเล็กๆ แต่ก็ยังไม่ตัดใจ มีทั้งพ่อแม่ เพื่อน เป็นกำลังใจให้
                ก็อ่านหนังสือสอบ วาดรูปไปเรื่อยๆ รอสอบแอดมิดชั่น พอคะแนนสอบออกมา คะแนนที่ฉันได้ต่ำกว่าคะแนนต่ำสุดปีที่แล้วอยู่เยอะมาก ไม่กล้าเลือก เริ่มใจเสียแล้วก็ทำใจว่า ไม่ได้เรียนแล้วแน่ๆที่นี่ แต่ก็เลือกไว้เป็นอันดับหนึ่งเพราะพ่อบอกว่า "ยังไงก็เป็นคณะที่อยากเรียน เลือกไว้ติดหรือไม่ติดก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงเราก็พยายามแล้ว" จนถึงวันประกาศผลสอบ ว่าเราติด สถาปัตย์ ลาดกระบัง ก็รู้สึกดีใจมาก รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่มีพ่อกับแม่ที่ให้คำปรึกษาที่ดี.
           


                  พอเข้ามาเรียนปี 1 มามีสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ที่เรียนใหม่ การเรียนมหาลัยในจินตนาการ ตอนแรกคิดว่า โห เนี่ยเราต้องมีเวลาว่างเยอะแน่ๆเลย ต้องสบายแน่ๆเลย พอมาเจอตารางเรียนของปี 1 คณะสถาปัตย์เท่านั้นแหละ จันทร์ถึงศุกร์ เช้าถึงเย็นเลย แถมยังมีงานที่ต้องทำตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์ ในช่วงแรกๆฉันเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของคณะน้อยมาก เพราะไม่ได้รู้สึกเชื่อ หรือชอบเกี่ยวกับค่านิยมพี่-น้องของที่นี่ ไม่ได้สนใจการรับน้องหรืออะไรทั้งนั้น สนใจแค่ว่าอันนี้น่าสนุกเลยอยากทำ ตอนไหนน่าเบื่อก็ไม่เข้าร่วมไม่สนใจ ทำให้ในช่วงแรกๆมีเพื่อนน้อยมาก หลังจากนั้นก็เริ่มปรับตัวได้ เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆมากขึ้น ใช้เวลากับเพื่อน กับรุ่นพี่มากขึ้น ทำให้รู้สึกว่า สังคมที่นี่แตกต่าง พี่น้อง ก็คือพี่น้อง มีการช่วยเหลือกัน ไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง


           
      ตอนเรียนปี 1 รู้สึกตัวเองเป็นปมด้อยมาก วาดรูปไม่สวย ทำงานไม่เนี้ยบ จนต้องกลับมาถามตัวเองว่า เห้ยนี่เราเหมาะกับที่นี่จริงรึเปล่า?  พอไปปรึกษากับพ่อแม่ พ่อบอกว่า "ที่ผ่านมา เราอยากเรียนมาก ก็พยายามมาจนเข้ามาเรียนได้ได้ แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่พยายามต่อ ให้เราได้อยู่กับสิ่งที่เราพยายามมา พ่อไม่ได้สนใจตัวเลขเกรด แต่สนใจว่าเราสามารถเอาตัวรอดได้ ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคง่ายๆแค่นั้นเอง"




ปี 2 เริ่มเป็นปีที่สนุก มีกิจกรรมต่างๆมากขึ้น แต่งานก็เยอะขึ้นตามไปด้วย ได้รู้ซึ้งถึงความหนัก ของคณะนี้ที่คนอื่นเค้าพูดกัน ในขณะเดียวกันก็ยังได้รับประสบการณ์ดีดี ความทรงจำดีดี

ปิดเทอมก่อนที่จะขึ้นปี 3 ได้ไปฝึกงานที่บริษัท ทำเลไทย เป็นบริษัทวิศวะ ฉันได้ไปทำงานอยู่ที่หน้างาน ได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงานต่างๆ ที่หน้างานที่ไม่เคยรู้มาก่อน

ปี 3 ที่รุ่นพี่หลายๆคนบอกว่าเป็นปีที่สบายที่สุดแล้ว งานไม่เยอะมาก ฉันรู้สึกว่าเป็นเพราะว่าเราปรับตัวได้แล้วมากกว่า จัดการเวลาชีวิตได้ดีขึ้น ทำให้เวลาทำงานก็จะง่ายขึ้นไปด้วย



     ช่วงปิดเทอมก่อนที่จะขึ้นปี 4 ฉันได้ไปฝึกงานที่ PAA Studio การฝึกงานที่นี่ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีหลายอย่าง ทั้งขั้นตอนในการทำงานจริง แนวคิดในการดำเนินชีวิต เทคนิคทริคต่างๆในการทำงาน


 ปี 4 ช่วงเวลานี้พูดได้เลยว่าเป็นช่วงที่ "เหนื่อยมาก" งานเยอะขึ้นมาก เนื้อหาการเรียนในแต่ละวิชาก็หนักมาก งานแต่ละงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานกลุ่ม ซึ่งมีความยากมากขึ้นไปอีก เพราะจะต้องมีการประสานงาน การทำงานร่วมกัน การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น การปรับตัว เหมือนเป็นช่วงที่เรากำลังจะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ต้องเพิ่มความรับผิดชอบมากขึ้น นอกจากเรียนในห้อง ทำงานส่งอาจารย์แล้ว ยังมีคำถามต่างๆ แวะหัวมาในหัวเรื่อยๆ

 "จะทำทีสิสอะไร?"
 "อยากให้อาจารย์คนไหนเป็นแอดไวเซอร์?"
 "อยากทำงานอะไร จะป็นสถาปนิกไหม?"







     จากการเรียนวิชา Professional Practice ทำให้รู้ว่าการเป็นสถาปนิกไม่ใช่แค่ฝันเอา ไม่ใช่แค่การดีไซน์สถาปัตยกรรมที่เราคิดว่าสวย แต่มันยังมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างมากในวิชาชีพที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการออกแบบ และเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเรียนรู้ เก็บเกี่ยวเอาไว้ เพื่อไม่ให้อนาคตเราทำผิดพลาด หรือโดนหลอก เพราะสิ่งที่อาจารย์ หรือพี่ๆ มาสอน มาบอกเล่าให้ฟังล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริง เป็นประสบการณ์ที่เขาเคยผ่านกันมาแล้วทั้งนั้น


     ที่คิดไว้เล่นๆ ทีสิสที่อยากทำน่าจะเป็น "สถาบันสอนทำอาหารนานาชาติ" เพราะเป็นคนชอบกิน ชอบนั่งดูรีวิวในอินเตอเน็ตหาร้านอาหารที่อร่อยๆ แล้วก็ชวนคนนู้นคนนี่ไปกิน
สถาบันสอนทำอาหารนานาชาติ ก็จะช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารให้แพร่หลายมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารของไทย ให้คงอยู่ด้วย



 
    ช่วงปิดเทอมที่จะถึงนี้ ตามหลักสูตรจะเป็นช่วงของการฝึกงาน บริษัทที่ได้ติดต่อไปก็คือบริษัท CASE สาเหตุที่อยากฝึกงานที่นี่ก็เพราะว่า ฉันเคยไปฝึกงานที่ออฟฟิศสถาปนิกมาแล้ว แต่ที่นี่เป็นบริษัทที่ทำงานเกี่ยวกับชุมชน ได้ลงพื้นที่งานจริง ได้ไปทำงานที่หน้างานจริงๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ยังไม่เคยทำ เลยอยากลองทำดู น่าจะได้ประสบการณ์ที่ดี และเป็นประสบการณ์ในมุมใหม่

               ในการเรียนฉันได้ศึกษาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมหลายอย่าง และสถาปนิกหลายๆคน แต่ละคนก็มีความคิด มีสไตล์ที่แตกต่างกันไป
สถาปนิกที่ฉันชื่นชอบ ก็คือ


 "อาจารย์จิ๋ว" รศ.วิวัฒน์ เตมียพันธ์

อาจารย์จิ๋วเป็นอาจารย์ที่เก่ง และมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะด้าน สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ที่เป็นสถาปัตยกรรมของไทย ใช้ภูมิปัญญาไทย เหมาะสมกับประเทศไทย

อาจารย์จิ๋วเป็นอาจารย์ที่ทุ่มเทในการสอนมาก
อาจารย์เต็มใจให้ความรู้กับนักเรียนทุกๆรุ่น ถึงแม้ว่าอาจารย์จะอายุมากแล้วก็ตาม แล้วก็ตั้งแต่เรียนมายังไม่เยมีอาจารย์คนไหนมาทำกับข้าวให้นักเรียนกิน ขอบคุณอาจารย์จิ๋วมากๆค่ะ









ส่วนงานสถาปัตยกรรมที่ชื่นชอบ คือ "Crown Hall" ของ Mies Van Der Rohn.



    Crown Hall นี้ดูภายนอกเหมือนแค่เป็นแค่งานเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดต่างๆที่สถาปนิกได้คิดไว้ ทำให้ตัวงานนี้มีความน่าสนใจ 



     เนื่องจากที่งานชิ้นนี่ใกล้กับวันพ่อ ซึ่งพ่อและครอบครัวเป็นแรงผลักดัน และเป็นกำลังใจที่สำคัญมาสำหรับฉัน

 

      ถ้าไม่ได้พ่อ  ที่ตามใจแล้วแต่ลูกว่า อยากเรียนที่ไหน
                           อยากเรียนอะไร ก็แล้วแต่ความชอบลูก   
      ถ้าไม่ได้พ่อ  ยุให้เลือกคณะนี้ตอนที่ฉันไม่กล้าเลือก
                           เพราะกลัวไม่ติด
      ถ้าไม่พ่อที่    ให้กำลังใจ ให้เรียนต่อตอนที่เกรดเทอมแรกห่วย
      ถ้าไม่ได้พ่อ  ที่คอยเรียกให้ไปนอนบนที่นอน เพราะหลับคางาน
      ถ้าไม่ได้พ่อ  ที่หาข้าวให้กินตอนที่งานเดือด ไม่ว่างไปหาข้าวกิน
      ถ้าไม่ได้พ่อ  ฉันอาจจะยอมแพ้ไปตั้งนานแล้วก็ได้




   

         ในอนาคต เมื่อเรียนจบไป ฉันก็อยากจะทำงานเป็นสถาปนิก อยากใช้วิชาที่เรียนมาให้คุ้ม และถ้ามีโอกาสก็ยากจะลองทำงานทางสายอาชีพที่เกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน เพราะในแต่ละสายงานก็ต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกันไป ฉันอาจจะไม่ได้เป็นสถาปนิกที่เก่ง มีชื่อเสียง แต่ฉันก็จะเป็นสถาปนิกที่ดีไม่ขี้โกง ไมาเอาเปรียบประเทศ ไม่เอาเปรียบคนอื่น ฉันอาจจะช่วยไม่ได้มาก แต่แค่นี้ก็ช่วยให้สังคมสถาปนิกไม่แย่ลง
          และฉันก็ยังมีความฝันเหมือนที่คนทั่วๆไปมี อยากเป็นนายตัวเอง อยากมีธุรกิจ อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นในสายงานนี้ก็ได้ เพราะฉันไม่อยากทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนตลอดไป  แต่อนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคต ปล่อยมันไปก่อน
     
          ถ้าสุดท้ายไม่ได้เป็นสถาปนิก แถมยังต้องเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ไม่อยากเป็นอีกก็ไม่เป็นไร แต่ยังไงฉันก็ได้ประสบการณ์ที่ดีจากการเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ลาดกระบังมาแล้ว สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ฉันสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ไม่ท้อแท้ และยอมแพ้ง่ายๆ





    


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น